วันเสาร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

สรุป

skip to main | skip to sidebar
n_oo_keaw@hotmail

วันเสาร์, มิถุนายน 28, 2008
ส่งการบ้านวันที่ 23-06-2551
วิวัฒนาการของสำนักงานอัตโนมัติ
- ในการเรียนการสอนมีปัญหาอะไรบ้าง จะมีวิธีแก้ไขอย่างไร
ตอบ ปัญหา
o นักศึกษามาเรียนสาย
o อาจารย์เข้าสอนช้า
o นักศึกษาเล่นอินเตอร์เน็ตในเวลาเรียน
o นักศึกษาคุยกันในห้องเรียน
o นักศึกษาหายเวลาเบรก
การแก้ปัญหา
o มีการเช็คชื่อมาสายเมื่อได้เวลาสอนของอาจารย์
o อาจารย์กับนักศึกษาควรนัดเวลาที่แน่นอนในการเข้าชั้นเรียน
o ห้ามนักศึกษาเปิดคอมพิวเตอร์ในเวลาเรียน
o มีการตักเตือนเมื่อนักศึกษาคุยกันถ้าไม่เชื่อฟังก็ควรที่จะมีการหักคะแนน
o มีการเช็คชื่อตอนหมดคาบเรียน



งานเดี่ยวการบ้าน

1. จงอธิบายความหมายของสำนักงาน
ตอบ สำนักงานเป็นที่แห่งหนึ่งซึ่งจะเป็นขนดเล็กหรือใหญ่ก็ได้ซึ่งอาจใช้เป็นสถานที่
ธุรกรรมต่าง ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำงาน ควบคุมการดำเนินงานโดยใช้สารสนเทศเป็นเครื่องมือและมีหน้าที่รับข้อมูลจากผู้หนึ่งมาประมวลผลแล้วส่งต่อให้อีกผู้หนึ่ง

2 . การจัดการสำนักงานประกอบด้วยกิจกรรมใดบ้าง
ตอบ ด้านบริการผู้บริหาร
- การรับและสนนาทางโทรศัพท์
- การรับส่งเอกสาร
- การจัดตารางนัดหมาย
- การจัดเก็บและค้นหาเอกสาร
- การจัดการเดินทาง


ด้านข้อมูลและเอกสาร
- การรับและบันทึกการรับเอกสาร
- การส่งเอกสาร
- การจัดทำเอกสาร
- การจัดส่งและบันทึกการส่งเอกสาร
- การจัดเก็บและค้นคืนเอกสาร
ด้านอาคารสถานที่ พัสดุ และ อุปกรณ์
ด้านการจัดการบุคลากร
ด้านการเงินและบัญชี
ด้านการจัดการประชุม
งานประชาสัมพันธ์

3. การวางแผงสำนักงานจะต้องดำเนินการอย่างไร
ตอบ - มีการวางแผนจัดสถานที่และสิ่งแวดล้อม
- มีการวางแผนขั้นตอนการปฏิบัติงานกับการรับ-ส่ง และจัดทำเอกสาร
- มีวางแผนเกี่ยวกับกระแสงาน
- มีวางแผนการจัดหาบุคลากร
- มีการวางแผนการรักษาความปลอดภัยของเอกสาร
- มีการวางแผนการติดต่อสื่อสารภายใน-ภายนอกด้วยโทรศัพท์และโทรสาร
- มีการวางแผนการจัดซื้ออุปกรณ์ เครื่องใช้ วัสดุ
- มีการวางแผนค่าใช้จ่ายในสำนักงาน


4. สภาพแวดล้อมเกี่ยวกับที่ตั้งสำนักงานมีผลต่อการปฏิบัติงานอย่างไร
ตอบ ทำให้พนักงานมีกำลังใจที่จะทำงาน เช่น ที่ตั้งของสำนักงานควรเป็นที่น่าอยู่ไม่อึดอัดมีการคมนาคมที่สะดวกสบาย เพื่อที่พนักงานจะได้ไปทำงานสะดวก มีร้านค้าร้านอาหารไว้บริการพนักงาน การดึงดูดจิตใจก็มีผลต่อการทำงานคือถ้าพนักงานมีจิตใจที่ดี อารมณ์แจ่มใสก็จะมีความสุขต่อการทำงาน

5. เทคโนโลยีที่มีใช้ในสำนักงานมีอะไรบ้าง
ตอบ - ระบบงานพิมพ์ คืองานด้านเอกสารต่าง ๆ
- ระบบโทรคมนาคม คือการสื่อสารเช่นโทรศัพท์
- ระบบรับส่งและจัดเก็บเอกสาร
- คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล
- ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

6.*เหตุผลที่หน่วยงานต้องพัฒนาระบบสำนักงานอัตโนมัติคืออะไร
ตอบ ปัจจุบันมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เป็นจำนวนมากเพื่อให้ความสะดวกสบายต่อการ
ทำงานมากขึ้นการที่เราต้องพัฒนาระบบสำนักงานอัตโนมัตินั้น เพื่อที่ระบบสำนักงานอัตโนมัตินั้นจะได้มีการทำระบบงานที่เร็วขึ้น ทันยุคทันสมัย มีการเจริญเติบโตของธุรกิจและยังสามารถลดค่าใช้จ่ายลงกว่าเดิม และปัจจุบันมีการสื่อสารที่เร็วขึ้นสำนักงานจึงควรที่จะนำเทคโนโลยีใหม่มารับมือกับข้อมูลข่าวสารที่เพิ่มมากขึ้น

7.การประยุกต์ใช้คอมพิวเตอร์สำนักงานจำแนกได้กี่ด้าน
ตอบ - การรับเอกสารและข้อมูล เช่นการส่งผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์มาจากลูกค้า
หรือบุคคลอื่นโดยตรง
- การบันทึกเอกสารและข้อมูล มีการปรับเปลี่ยนเป็นการบันทึกลงในระบบคอมพิวเตอร์มากขึ้น
- การสื่อสารเอกสารและข้อมูล
- การจัดเตรียมข้อมูลและข่าวสารต่าง ๆ เดิมข้อมูลอาจจะกระจายอยู่ในแฟ้มหลายแห่งแต่สำนักงานอัตโนมัติสามารถหาข้อมูลที่เก็บไว้ได้รวดเร็วมากขึ้น
- การกระจายข่าวสาร ส่งผ่านไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งมีความสะดวกรวดเร็ว
- การขยายรูปแบบเอกสาร แทนที่จะถ่ายเอกสารจำนวนมาก ให้เปลี่ยนเป็นการจัดเก็บเอกสารไว้ในคอมพิวเตอร์แทน
- การกำจัดและทำลายเอกสาร เอกสารที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์สามารถกำจัดได้สะดวกรวดเร็ว


8. สำนักงานอัตโนมัติมีประโยชน์อะไรบ้าง
ตอบ - ประหยัดงบประมาณค่าใช้จ่าย
- เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
- ผู้บริหารสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องและรวดเร็ว
- ผู้ปฏิบัติงานมีความภาคภูมิใจในสำนักงานและหน่วยงานมากขึ้น
- หน่วยงานและสำนักวานมีภาพลักษณ์ดี

9. การพัฒนาระบบสำนักงานอัตโนมัติมีกี่วิธีอะไรบ้าง
ตอบ - การเลือกแนวทางการพัฒนาสำนักงานอัตโนมัติ คือการพิจารณาเลือกว่าจะดำเนินการพัฒนาแบบใดดี ดำเนินการเองว่าจ้างที่ปรึกษา หรือจัดซื้อระบบสำนักงานอัตโนมัติมาใช้
- การวางแผนการพัฒนา ทั้งทางด้านงบประมาณ กระบวนการพัฒนา และกำลังคน
- การพัฒนาและจัดระบบสำนักงานอัตโนมัติ คือการลงมือดำเนินการจัดสร้างระบบ การสั่งซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ การติดตั้งซอฟแวร์ เป็นต้น
- การประเมินผล การปฏิบัติงานและการปรับเปลี่ยน เป็นการตรวจสอบว่าการปฏิบัติงานที่จัดทำขึ้นบรรลุวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้มากน้อยเพียงใด


สรุปวิวัฒนาการของสำนักงานอัตโนมัติ


สำนักงานคือที่ที่ใช้สำหรับทำธุรกรรมต่างๆ
สำนักงานจะต้องข้อมูลและข่าวสารซึ่งมีลักษณะเป็น คำสั่ง รายงาน บันทึกช่วยจำ ข่าว เป็นต้น และอีกทั้งยังมีประเภทของข้อมูลมีลักษณะเป็น เอกสารพิมพ์ เสียง ภาพลักษณ์ สื่อที่คอมพิวเตอร์อ่านได้ สายงานที่มีในสำนักงานมีหลายด้าน คือ งานวิชาชีพ งานสายสนับสนุน งานสายสำนักงาน
การควบคุมการปฏิบัติงานในสำนักงานนั้นจะเป็นการควบคุมเพื่อให้พนักงานทำงานได้รวดเร็ว ควบคุมการเบิกจ่ายวัสดุอุปกรณ์
สำนักงานนั้นควรที่จะมีสภาพแวดล้อมที่ดี ทั้งที่ตั้งของสำนักงาน การคมนาคม สภาพจิตใจ
ปัจจุบันการมีการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้กับสำนักงานมาก เช่น ระบบงานพิมพ์ โทรคมนาคม ระบบรับส่งและจัดเก็บเอกสาร คอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล และเครือข่ายอินเทอร์เน็ต
สำนักงานอัตโนมัติเกิดขึ้นจากแรงบีบคั้นของเศรษฐกิจและสารสนเทศ ปัจจุบันสำนักงานมีค่าใช้จ่ายมากขึ้นการปรับเปลี่ยนการทำงานจึงทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายน้อยลง อีกทั้งสำนักงานยังต้องหาเทคโนโลยีใหม่มารับมือกับปริมาณข้อมูลข่าวสารที่มีมากขึ้น
สำนักงานอัตโนมัติ คือ การที่นำเทคโนโลยีเข้ามาช่วยจัดการสารสนเทศ เป็นวิธีการใหม่สำหรับคิดและดำเนินงานกับสารสนเทศเป็นการนำคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์สำนักงานมาเชื่อมโยงกันด้วยระบบสื่อสารข้อมูลเพื่อให้ทำงานได้เร็ว
องค์ประกอบของสำนักงานอัตโนมัติจะต้องมี บุคลากร เอกสารข้อมูล สารสนเทศ เทคโนโลยีและการบริหารจัดการ
การพัฒนาสำนักงานอัตโนมัติ เป็นการเลือกแนวทางการพัฒนาสำนักงานอัตโนมัติ เป็นการวางแผนการพัฒนา เป็นการพัฒนาและจัดระบบสำนักงานอัตโนมัติ เป็นการประเมินผลการปฏิบัติงานและการปรับเปลี่ยน การวางแผนมีสิ่งที่สำคัญคือ หน่วยงาน สถานภาพ ลักษณะหน่วยวาน ผู้ใช้ การสื่อสาร และลักษณะสารสนเทศ


แปลสไลด์ที่ 32 และ 33 วิวัฒนาการของสำนักงานอัตโนมัติ

1932 อัตโนมัติกระดาษ-เทป typewriter
1933 เกี่ยวกับไฟฟ้า typewriter (IBM)
1935 สำเนา
1939 เครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิค (John v.Atanasofford Berry)
1942 I-froerunner เครื่องหมายสมัยใหม่ของคอมพิวเตอร์
1945 Eniac คอมพิวเตอร์ - Processes ข้อมูลดิจิตอล
1949 Eniac (John von Neumann’s ความคิดโปรแกรมห้างร้าน)
1951 Univaci (U.S.Census การสั่งมอบพนักงาน)
1954 Univaci (โฆษณาแรกใช้)
1961 Selectric typewriter (IBM)
1963 Minicomputer (บริษัทอุปกรณ์ดิจิตอล , DEC)
1964 MT/ST (IBM)
1969 MC/ST (IBM)
1971 Microprocessor (Intel)
1972 ระบบวีดีโอแสดงสำหรับประมวลผลคำ
1973 ระบบแผ่นดิสเก็ตสำหรับประมวลผลคำ
1977 Minicomputer (แอปเปิล)
1978 อิเล็กทรอนิค typewriter (EXXON)
1981 IBM personal คอมพิวเตอร์
1980s จดหมายเสียง,เครือข่าย, graphical ส่วนติดต่อผู้ใช้
1900s personalเครื่องสื่อสาร มัลติมิเดีย,ผลิตภัณฑ์สมาร์ท,

เหตุผลใดไทย จึงแพ้คดีปราสาทพระวิหาร


เหตุผลใดไทย จึงแพ้คดีปราสาทพระวิหาร










...คนไทยไม่ค่อยรู้ความเป็นมาเป็นไปในคดีปราสาทพระวิหารอาจเป็นเพราะว่า ประเทศไทยแพ้คดีนี้ให้กับประเทศเพื่อนบ้านคือกัมพูชา จนทำให้สังคมไทยไม่อยากกล่าวถึงคดีนี้มากนัก...

ประเด็นเรื่องปราสาทพระวิหารกลายเป็นหัวข้อที่สาธารณชนให้ความสนใจอีกครั้ง เมื่อประเทศกัมพูชายื่นเรื่องการขอเสนอให้ปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกตาม อนุสัญญา Convention Concerning the Protection of the World Cultural and Natural Heritage โดยที่ประเทศไทยคัดค้านการยื่นฝ่ายเดียวของกัมพูชา โดยอ้างเรื่องความสมบูรณ์ทางวิชาการด้านโบราณคดีและการที่ทั้งสองประเทศยัง ตกลงกันไม่ได้เกี่ยวกับเขตแดน

แม้คดีนี้จะผ่านความรับรู้ของคนไทยมายาวนานแล้วก็ตามแต่ปรากฏว่ามีคนไทยน้อยมากที่รู้ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายในเรื่องนี้

เหตุผลที่คนไทยไม่ค่อยรู้ความเป็นมาเป็นไปในคดีปราสาทพระวิหารอาจเป็น เพราะว่าประเทศไทยแพ้คดีนี้ให้กับประเทศเพื่อนบ้านคือกัมพูชา จนทำให้สังคมไทยไม่อยากกล่าวถึงคดีนี้มากนัก

และด้วยเหตุที่คนไทยรู้จักกับคดีนี้น้อย จึงอาจมีการบิดเบือนข้อมูลได้ง่าย เนื่องจากคดีนี้มีสองประเด็นใหญ่ที่ต้องพิจารณาคือ ประเด็นเรื่องการยอมรับเขตอำนาจศาลและการพิจารณาขั้นเนื้อหา จึงขอแยกอธิบาย ดังนี้

ประเด็นเรื่องเขตอำนาจศาลโลก

ประชาชนคนไทยมักจะสงสัยอยู่เสมอว่า ทำไมประเทศไทยต้องไปขึ้นต่อสู้คดีต่อศาลโลกที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีอธิปไตย มีเอกราช การขึ้นต่อสู้คดีของประเทศไทยมิเท่ากับเป็นการเสียเอกราชหรือ

ประเด็นนี้ เป็นประเด็นข้อกฎหมายที่สลับซับซ้อน หากใช้ความรู้สึกชาตินิยมหรือสามัญสำนึกย่อมไม่เข้าใจว่าทำไมประเทศไทยต้อง ขึ้นศาลโลก ผู้เขียนจะขออธิบายช่องทางการยอมรับเขตอำนาจศาลโลกเสียก่อนว่ามีวิธีการใด บ้าง การยอมรับเขตอำนาจศาลโลกนั้นทำได้อยู่สามประการคือ

ประการแรก การยอมรับเขตอำนาจการพิจารณาคดีโดยการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญาใดอนุสัญญาหนึ่ง ซึ่งกำหนดว่า หากมีปัญหาในการตีความสนธิสัญญา ให้ศาลโลกเป็นผู้พิจารณา

ประการที่สอง ประเทศคู่พิพาทตกลงทำความตกลงยอมรับเขตอำนาจศาลโลกเป็นเฉพาะกรณีๆ ไป กล่าวคือ เมื่อเกิดข้อพิพาทขึ้นมาแล้ว รัฐคู่พิพาทได้ทำสนธิสัญญายอมรับเขตอำนาจศาลเฉพาะข้อพิพาทนั้น และ

ประการที่สาม รัฐได้ทำคำประกาศฝ่ายเดียวยอมรับเขตอำนาจศาล ทั้งนี้ ภายใต้เงื่อนไขที่รัฐกำหนดไว้

ประเด็นเรื่องการยอมรับเขตอำนาจศาลโลก (ทั้งศาลโลกเก่าและใหม่) ของประเทศไทยนั้นเป็นประเด็นที่คนไทยไม่ใคร่ได้กล่าวถึง อาจเป็นเพราะว่าเป็นประเด็นข้อกฎหมายมากเกินไปประชาชนทั่วไปจึงไม่ค่อยได้ สนใจ

อีกทั้งทางการก็มิได้ชี้แจงประเด็นนี้ต่อสาธารณชน มากนักทั้งๆ ที่ประเด็นนี้มีความสำคัญอย่างมาก และเป็นประเด็นที่หากมีการกล่าวถึงในวงกว้างแล้วก็อาจมีผลกระทบต่อผู้ เกี่ยวข้องได้ แต่เนื่องจากประเด็นนี้สำคัญ ผู้เขียนจึงมิอาจหลีกเลี่ยงที่จะข้ามไปได้จึงขอกล่าวถึง ดังนี้

ประเทศไทยได้ทำคำประกาศยอมรับเขตอำนาจของศาลโลก ทั้งหมด 3 ฉบับ ดังนี้

ฉบับแรกทำเมื่อวันที่ 20 กันยายน ค.ศ.1929 และเริ่มมีผลใช้บังคับเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม ในปี ค.ศ.1930 โดยคำประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลโลกเก่าซึ่งชื่ออย่างเป็นทางการคือ "ศาลประจำยุติธรรมระหว่างประเทศ" (Permanent Court of International Justice : PCIJ) เป็นเวลา 10 ปี

ฉบับที่สอง รัฐบาลไทยทำคำประกาศโดยมิวัตถุประสงค์เพื่อ "ต่ออายุ" (renew) เขตอำนาจศาลโลกเก่า โดยคำประกาศฉบับที่สองนี้ทำเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม ค.ศ.1940 โดยคำประกาศที่สองนี้เริ่มมีผลใช้บังคับวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ.1940

ฉบับที่สาม รัฐบาลไทยทำเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม ค.ศ.1950 ซึ่งหลังจากที่คำประกาศฉบับที่สอง (ที่ต่ออายุคำประกาศฉบับแรก) หมดอายุเป็นเวลา 14 วัน

มีข้อสังเกตที่น่าสนใจและเป็นประเด็นข้อกฎหมายที่ฝ่ายไทยนำมาอ้างก็คือ ศาลโลกเก่านั้นได้สิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 19 เมษายน ค.ศ.1946 และตามธรรมนูญของศาลโลกใหม่ที่มีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า "ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ" (International Court of Justice : ICJ) นั้นมาตรา 36 วรรค 5 ได้กำหนดว่า ให้การยอมรับเขตอำนาจ "ศาลโลกเก่า" โอนถ่ายไปยัง "ศาลโลกใหม่" หากว่า คำประกาศนั้นยังมีผลใช้บังคับอยู่หรือกล่าวง่ายๆ คือ ยังไม่ขาดอายุนั่นเอง

ข้อต่อสู้เกี่ยวกับการคัดค้านเขตอำนาจศาลโลกใหม่ที่ทนายความฝ่ายไทยต่อ สู้ในชั้นของการคัดค้านเขตอำนาจของศาลโลกใหม่นั้นมีว่า คำประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลโลกเก่าได้ยุติลงอันเป็นผลมาจากการสิ้นสุดของศาล โลกเก่า ดังนั้น คำประกาศต่ออายุเขตอำนาจศาลโลกเก่าเมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.1950 จึงไม่มีผลใช้บังคับอีกต่อไป

อีกทั้งคำประกาศดังกล่าวมิใช่คำประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลโลกใหม่ ดังนั้น ศาลโลกใหม่จึงไม่มีเขตอำนาจ

แต่ข้อต่อสู้นี้อ่อนมาก ศาลโลกเห็นว่า คำประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลฉบับที่สามที่รัฐบาลไทยทำเมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ.1950 นั้น ไม่สามารถใช้เป็นเหตุผลในการต่ออายุยอมรับเขตอำนาจศาลโลกเก่าได้ เพราะว่า คำประกาศฉบับที่สามนี้ ทำหลังจากที่คำประกาศฉบับที่สองหมดอายุแล้วสองอาทิตย์

ศาลโลกเห็นว่า สิ่งที่จะต่ออายุได้นั้น สิ่งนั้นต้องเป็นสิ่งที่ยังมีอยู่ มิใช่เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่อีกต่อไปแล้ว อีกทั้งรัฐบาลไทยก็รู้ดีว่าขณะที่ทำคำประกาศฉบับที่สามนั้นทำหลังจากที่ศาล โลกเก่าได้สิ้นสุดลงแล้วกว่าสี่ปี (ศาลโลกเก่าสลายตัวเมื่อปี ค.ศ.1946 แต่คำประกาศฉบับที่สามทำเมื่อปี ค.ศ.1950) ข้ออ้างของประเทศไทยจึงฟังไม่ขึ้น

ประเด็นต่อไปมีว่า ในเมื่อคำประกาศฉบับที่สามฟังไม่ได้ว่าเป็นคำประกาศต่ออายุยอมรับเขตอำนาจ ศาลโลกเก่าแล้ว ผลในทางกฎหมายของคำประกาศฉบับที่สามคืออะไร ศาลโลกเห็นว่า คำประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลฉบับที่สามเป็นคำประกาศใหม่ ที่แยกเป็นเอกเทศออกจากคำประกาศฉบับแรกและฉบับที่สอง

และหากพิจารณาเนื้อหาของคำประกาศที่สามแล้ว ศาลโลกเห็นว่า เป็นการประกาศยอมรับเขตอำนาจศาลโลกใหม่ โดยอิงเงื่อนไขจากคำประกาศฉบับแรก

ดังนั้น ศาลโลกจึงมีมติเป็นเอกฉันท์ว่า ศาลโลกมีเขตอำนาจพิจารณาข้อพิพาทที่รัฐบาลกัมพูชาฟ้องรัฐบาลไทย ข้อต่อสู้ทางกฎหมายของฝ่ายไทยฟังไม่ขึ้น






ประเด็นเรื่องเนื้อหาของข้อพิพาท

คําร้องของกัมพูชาที่สำคัญที่ให้ศาลโลกวินิจฉัยคือประเด็นที่ว่า กัมพูชามีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนอันเป็นที่ตั้งของปราสาทพระวิหาร การนำเสนอพยานหลักฐานของทั้งสองฝ่ายนั้นมีดังนี้

ฝ่ายไทยเสนอว่า หากพิจารณาตามสนธิสัญญาที่สยามทำกับประเทศฝรั่งเศส (ขณะนั้นประเทศฝรั่งเศสปกครองกัมพูชา) เมื่อปี ค.ศ.1904 ซึ่งตามสนธิสัญญาจะใช้ "สันปันน้ำ" (watershed) ปราสาทพระวิหารจะอยู่ฝั่งไทย แต่หากพิจารณาตามแผนที่ ปราสาทพระวิหารจะอยู่ฝั่งกัมพูชา

ขออธิบายตรงนี้เลยว่าหลังจากที่มีการทำสนธิสัญญาทวิภาคีในปี ค.ศ.1904 ทั้งสองฝ่ายได้ตั้งคณะกรรมการผสมขึ้น และไม่นานนัก คณะกรรมการชุดนี้ก็มิได้ทำงานอีกต่อไป ต่อมา ฝ่ายไทยได้ร้องขอให้ประเทศฝรั่งเศสจัดทำแผนที่ขึ้น ข้อสังเกตเกี่ยวกับแผนที่เจ้าปัญหาฉบับนี้ มีดังนี้

ประการแรก แผนที่นี้เป็นการร้องขอจากฝ่ายไทยให้ประเทศฝรั่งเศสทำขึ้น แผนที่นี้ทำขึ้นที่กรุงปารีส การที่ประเทศร้องขอให้ประเทศฝรั่งเศสทำขึ้นนั้นเป็นเพราะว่าในขณะนั้น ประเทศไทยยังขาดผู้เชี่ยวชาญในการทำแผนที่

ประการที่สอง การปักปันเขตแดนแล้วลงมาตราส่วนลงในแผนที่เป็นการกระทำฝ่ายเดียวของประเทศฝรั่งเศส โดยที่ฝ่ายไทยไม่มีส่วนร่วมเลย

ประการที่สาม การทำแผนที่นี้ไม่เกี่ยวกับคณะกรรมการผสมแต่อย่างใด ในประเด็นนี้ผู้พิพากษาฟิสต์มอริสซึ่งเป็นหนึ่งในองค์คณะกล่าวว่า คณะกรรมการผสมไม่เคยแม้แต่จะ "เห็น" แผนที่นี้ อย่าว่าแต่ "รับรอง" เลย เป็นการร้องขอฝ่ายเดียวจากรัฐบาลไทย

ประการที่สี่ เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดและเป็นเหตุผลสำคัญที่ศาลโลกวินิจฉัยให้ประเทศไทยแพ้ก็คือ แม้ประเทศไทยจะไม่มีส่วนในการทำแผนที่ แต่ประเทศไทยก็ไม่เคยคัดค้านหรือประท้วงเกี่ยวกับความถูกต้องของแผนที่ ทั้งๆ ที่ประเทศไทยมีโอกาสอยู่หลายครั้งที่จะทักท้วงหรือประท้วงถึงความคลาด เคลื่อนหรือความผิดพลาดของแผนที่

โอกาสที่จะประท้วงความไม่ถูกต้องของแผนที่ เช่น กรณีการเจรจาทำสนธิสัญญาทางไมตรี พาณิชย์และการเดินเรือกับประเทศฝรั่งเศสที่ทำขึ้นในปี ค.ศ.1925-1937 แต่ไทยก็มิได้ทักท้วง

ซึ่งศาลโลกเห็นว่า การนิ่งเฉยของประเทศไทยเป็นเวลานานเท่ากับเป็นการยอมรับความถูกต้องของแผนที่แล้ว จะมาปฏิเสธในภายหลังนั้น ไม่อาจกระทำได้ เป็นการปิดปากประเทศไทยว่าจะมาปฏิเสธความผิดพลาดของแผนที่ไม่ได้

ยิ่งไปกว่านั้น ทางการของไทยเองยังได้ทำแผนที่ใช้ขึ้นเองอีกด้วยในปี ค.ศ.1937 โดยแผนที่ที่เจ้าหน้าที่ของไทยเป็นผู้จัดทำ ได้แสดงว่าปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในดินแดนของกัมพูชา ประเด็นนี้ไทยอ้างว่า แผนที่ที่ไทยทำขึ้นเองฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อใช้ในการทหารเป็นการภายในเท่านั้น แต่ศาลโลกไม่เห็นด้วยกับข้ออ้างของไทยในประเด็นนี้

เหตุผลประการหนึ่งที่ศาลโลกเห็นว่า ประเทศไทยยอมรับอำนาจอธิปไตยของกัมพูชาเหนือที่ตั้งปราสาทพระวิหารก็คือ การที่กรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ไปเยือนกึ่งเป็นทางการที่ปราสาทพระวิหาร ในครั้งนั้น กองทหารฝรั่งเศสได้ตั้งกองทหารเกียรติยศรับการเสด็จอย่างเต็มที่ และยังชักธงชาติของประเทศฝรั่งเศสด้วย

ซึ่งศาลโลกเห็นว่า เท่ากับประเทศไทยยอมรับอำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหารว่าเป็นของกัมพูชา (ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส) อย่างไรก็ตาม ประเด็นนี้ ผู้พิพากษาศาลโลกท่านหนึ่งคือ ท่านเวลลิงตัน คู ซึ่งเป็นตุลาการเสียงข้างน้อยได้ทำความเห็นแย้งว่า ในเวลานั้นกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยแล้ว แต่ดำรงตำแหน่งนายกราชบัณฑิตยสถานแห่งประเทศไทย อีกทั้งพระองค์ยังตรัสว่า การมาเยือนปราสาทพระวิหารนี้ไม่เกี่ยวกับการเมือง

นอกจากนี้ สาเหตุอีกประการหนึ่งที่ไทยแพ้คดีอาจเป็นผลมาจากการตั้งรูปคดีที่ผิดพลาดมา ตั้งแต่ต้น แทนที่ประเทศไทยจะปฏิเสธความผิดพลาดของแผนที่ ควรรับประเด็นเรื่องแผนที่ แล้วยกข้อต่อสู้ว่า ในกรณีที่ข้อความในสนธิสัญญาที่ให้ใช้ "สันปันน้ำ" แย้งกับ "แผนที่" ในกรณีนี้ให้ถือว่าข้อความในสนธิสัญญามีค่าบังคับเหนือกว่า

ซึ่งอนุสัญญาแวร์ซายส์ มาตรา 29 ก็มีข้อความทำนองนี้ อีกทั้งก็มีคดีที่ศาลตัดสินให้ความน่าเชื่อถือของสนธิสัญญายิ่งกว่าแผนที่

จริงหรือที่ "การนิ่งเฉย" หรือ "กฎหมายปิดปาก" มิใช่เป็นหลักกฎหมาย

หลังจากที่ไทยแพ้คดี นายถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศเวลานั้นกล่าวทำนองว่าศาลโลกนำหลักกฎหมายที่ไม่ชัดเจนมาตัดสินคดี ที่น่าคิดก็คือ ทำไมทนายฝ่ายไทยไม่ทราบ หรือว่า "หลักกฎหมายปิดปาก" หรือ "การนิ่งเฉย" นั้น ศาลโลกหรืออนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศเคยนำมาใช้หลายคดีแล้ว

อีกทั้งนักกฎหมายระหว่างประเทศก็ยังได้เขียนบทความเรื่อง "หลักกฎหมายปิดปากที่ใช้ในศาลระหว่างประเทศและความสัมพันธ์ของหลักกฎหมาย ดังกล่าวกับการนิ่งเฉย" (Estoppel before Internationals and Its Relation to Acquiescence) เขียนโดยนักกฎหมายระหว่างประเทศชื่อ Bowett ลงในวารสาร British Yearbook of International Law ปี ค.ศ.1957 และบทความชื่อ "หลักกฎหมายปิดปากในกฎหมายระหว่างประเทศ" โดย Mcgibborn ในวารสาร International and Comparative Law Quarterly ปี 1958 ซึ่งตีพิมพ์ก่อนที่ศาลโลกจะตัดสินประมาณ 3-4 ปี

ไม่อาจคาดการณ์ได้แน่ชัดว่าฝ่ายไทยได้เคยอ่านบทความนี้หรือไม่ แต่ไม่ว่าฝ่ายไทยจะได้เคยอ่านบทความนี้หรือไม่ก็ตาม ประเด็นที่น่าคิดก็คือ ทนายความของฝ่ายไทยน่าจะย่อมรู้ถึงหลักกฎหมายปิดปากเป็นอย่างดี

เพราะหลักว่าด้วย "การถูกการตัดสิทธิ" (Preclusion) หรือ "การนิ่งเฉย" อาจเทียบได้หรือมีผลเท่ากันกับ "หลักกฎหมายปิดปาก" อันเป็นหลักกฎหมายอังกฤษ หรือแองโกลแซกซอน

บทส่งท้าย

สรุปเหตุผลที่แท้จริงที่ประเทศไทยเสียปราสาทพระวิหารคือ การยอมรับความคลาดเคลื่อนของแผนที่อันเป็นผลมาจากการทำแผนที่ฝ่ายเดียวของ เจ้าหน้าที่ฝรั่งเศส ซึ่งศาลโลกเห็นว่า หลังจากที่ทำสนธิสัญญาประเทศสยามอยู่ในฐานะที่จะคัดค้านความไม่ถูกต้องของ แผนที่ได้หลายครั้ง แต่ก็มิได้คัดค้าน จึงปิดปากประเทศสยามว่าต่อมาจะปฏิเสธความไม่ถูกต้องของแผนที่ไม่ได้

หากประเทศไทยจะเสียดินแดนอีกครั้งคงไม่ใช่เพราะนำข้อมูลการต่อสู้ทาง กฎหมายคดีความเอาไปขายให้กับประเทศเพื่อนบ้านหรือเกิดจากความไม่รักชาติ ไม่สามัคคีอย่างที่คนไทยหลายคนเข้าใจกัน (ซึ่งรวมถึง พลเอกสนธิ บุญยรัตกลิน ด้วย) แต่เกิดจากความไม่รอบคอบ ความประมาท และไม่รู้จักหน้าที่ของตนเองมากกว่า เหมือนกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับสามจังหวัดภาคใต้ของเรา

ประโยชน์น้ำทับทิม



ยกย่องน้ำผลทับทิมคั้น

คณะนักวิทยาศาสตร์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียของสหรัฐฯ ยกย่องสรรพคุณของน้ำผลทับทิมคั้น ในทางบำรุงเลือดลมว่า ไม่แพ้ยา “ไวอากร้า” อันเป็นยาแก้อาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศของบุรุษ หน่วยงานวิจัยด้านมะเร็งนานาชาติ ซึ่งเป็นองค์กรในสังกัดขององค์การอนามัยโลก ประกาศจะขึ้นบัญชีการทำงานกลางคืน เทียบเท่ากับว่าเป็นสารก่อมะเร็ง การตัดสินใจดังกล่าวเกิดขึ้นบนพื้นฐานการทบทวนงานวิจัยหลายชิ้นที่พบอัตราการเป็นมะเร็ง ทรวงอก และมะเร็งต่อมลูกหมากมากขึ้นในหมู่ชายหญิงที่ทำงานตอนกลางคืน สมาคมโรคมะเร็งกล่าวว่า จะดำเนินตามคำวินิจฉัยนั้น แต่ยังคงพิจารณาว่าความเชื่อมโยง ของมะเร็งจากการทำงานยังอยู่ในขั้น “ไม่แน่นอน” หรือ “ยังไม่สามารถพิสูจน์ได้” เพราะอาจจะมีปัจจัยอื่นร่วมด้วยที่ทำให้เกิดปัจจัยเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเพิ่มขึ้น ในกลุ่มคนทำงานกะดึก เว็บไซต์ของสมาคมฯยังมีข้อสังเกตว่าสารก่อมะเร็งไม่เป็นเหตุ ให้เกิดมะเร็งเสมอไป ถ้าหากทฤษฎีการทำงานกลางคืนพิสูจน์ได้ในที่สุดว่าเป็นจริงนั้นจะทำให้คนเรือนล้านทั่วโลก ได้รับผลจากทฤษฎีนี้ โดยผู้เชี่ยวชาญคาดประมาณว่าเกือบ 20 เปอร์เซ็นต์ ของประชากรวัยทำงานในประเทศพัฒนาแล้วเป็นคนทำงานกะกลางคืน เหตุผลที่นักวิทยาศาสตร์คาดหมายถึงความเชื่อมโยงระหว่างการทำงานกะดึกกับการเกิดมะเร็ง เพราะว่ามันเข้าไปขัดจังหวะการทำงานของนาฬิกาชีวภาพในร่างกาย และฮอร์โมนเมลาโทนิน ซึ่งสามารถกดการเติบโตของก้อนเนื้อนั้น โดยปกติจะมีการผลิตขึ้นมาในเวลากลางคืน “การนอนไม่พอจะทำให้ระบบภูมิคุ้มโรคอ่อนแอถูกจู่โจมได้ง่ายและสามารถต่อสู้ กับเซลล์มะเร็งได้น้อยลง” มาร์ค รี ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยไลท์ รีเสิร์ช ที่สถาบันโพลีเทคนิคเรนส์เซลเลอร์ ในนิวยอร์ก กล่าว.

ไม่มีความคิดเห็น: